ประวัติแม่แดง พานิชพันธ์
วิถี พานิชพันธ์ : คุณย่าเล่าว่า…
คุณย่าเล่าว่า ยายหมา(ยายทวด) เดิมเป็นคน คลองตาล สวรรคโลก มีญาติพี่น้องมากมายที่อำเภอศรีสําโรง ได้โยกย้ายมาทำมาหากินที่ลําปาง อาชีพหลักคือทำขนมขาย เช่น ข้าวต้มผัด ขนมต้มขาว ต้มแดง และขนมกวนต่างๆ บ้านของยายหมา ตั้งอยู่บนตลาดจีนค่อนมาทางท้ายถนนเยื้อง ๆ กับ บ้านของป๋าน้อยคมสันปัจจุบันนี้ คุณย่าเองได้เกิดที่นี่ วันที่คุณย่าเกิดเป็นวันจันทร์ แม่รับ (หมอตำแย) เพิ่งเสร็จจากการทำคลอดให้ยายบุญถึง จึงถือว่าเป็น “เดี่ยว” เพราะเกิดวันเดียวกันมีหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หน้าตา และความเป็นไปในชีวิต เช่น แต่งงานกับคนจีนและเป็น หม้ายทั้งคู่ มีลูกสาวอยู่ดูแลปรนนิบัติจนแก่ เวลาไปทำบุญไปวัด คุณย่ากับยายบุญถึงก็มักจะไปด้วยกันเสมอ บริเวณบ้านที่พักอาศัยก็อยู่แถบรั้วติดกัน ถึงแม้ว่า ในระยะหลังนี้คุณย่าได้ย้ายมาอยู่ใกล้วัด ห่างไกลจากบ้านยายบุญถึง แต่การไปมาหาสู่ก็ยังเป็นปกติ ถ้าคนไปวัดเกาะทุก ๆ วันพระช่วง พ.ศ. 2500 จะสังเกตเห็นหญิงสูงอายุสองคนนี้นั่งเคียงข้าง แต่งตัวคล้ายกันอยู่บนศาลาใหญ่เป็นนิจ
คุณย่าบอกว่า เมื่อตอนคุณย่าเป็นเด็กอยู่ประ มาณ 8-9 ขวบ ยายหมาจะใช้ให้ไปเดินขายขนมทั่วเมืองลําปาง เวลาเดินขายขนมผ่านหน้าคุ้มหลวงมัก จะหวาดกลัวเสมอ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ความดุร้าย ของเจ้าหลวง เช่นว่า ถ้าเจ้าหลวงไม่สบอารมณ์ใคร ก็จะเรียกไปเฆี่ยน หรือลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ เฉพาะแต่เจ้าหลวงที่ดุร้ายเท่านั้น แม้แต่ช้างของเจ้า หลวงก็ดุร้ายพอ ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีช้างตัว หนึ่งเป็นช้างขี้เมาเพราะควาญช้างเป็นคนขี้เมา วันไหนถ้าทั้งช้างและควาญเมา ทั้งคู่จะออกไประรานชาวบ้าน สร้างความเสียหายให้รั้วบ้านกับสวนกล้วย จนต้องฟังระเนระนาดไปตามๆ กัน เสร็จแล้วใครจะ มาเรียกร้องค่าเสียหายอะไรไม่ได้ เพราะเป็นช้างเจ้า หลวง และถ้าช้างได้กลิ่นเหล้าในบ้านใคร บ้านนั้นมี หวังได้สร้างกันใหม่ มีหลายครั้งที่ช้างเมาตัวนี้ลงไปท่าน้ำในแม่น้ำวังแล้วอาละวาดพวกแพเมี่ยงแพยาสูบที่ล่องมาจากแจ้ห่ม โดยงัดแพหาไหเหล้า ถ้าไม่เจอ ก็จะเอางวงจับต่างเมี่ยงโยนขึ้นไป แล้วเอางาเสียบรับเล่นแก้โมโห สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านชาวเมือง นับว่าโชคดีว่าทั้งช้างและควาญคู่นี้ไม่ได้อยู่ยืนยาวคู่บ้านคู่เมือง และด่วนตายเพราะตับแข็งก่อน เมืองลําปางจึงมิได้แหลกราญ ราบเป็นหน้ากลอง
เมื่อครั้งกระนั้นแป๊ะ(หรือบุญค้า) พี่ชายคนถัดไปของคุณย่า เป็นคนที่มีสายตาอันยาวไกล มองเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณย่าวิ่งขายขนมทั้งวัน คงไม่มีอนาคตที่จะเจริญก้าวหน้าแน่ จึงพยายามส่งเสริมให้คุณย่าได้ เรียนหนังสือ โดยแอบเหมาซื้อขนมที่ยายหมาใช้ให้ คุณย่าไปขายไว้ทุกวัน เพื่อให้คุณย่ามีเวลาว่างและมีโอกาสไปเรียนหนังสือในโรงเรียนมิชชั่นนารี ที่มาตั้งอยู่ฝั่งบ้านปงสนุก ตรงข้ามแม่น้ำวังที่สำนักงานไฟฟ้าปัจจุบัน
การที่คุณย่าแอบไปเรียนหนังสือนี้ ถ้ายายหมาทราบเข้าจะต้องโดนเฆี่ยนอย่างไม่นับ เพราะคนโบราณเขาถือกันนักหนาว่า เด็กผู้หญิงไม่ควรอ่านออกเขียนได้หรือเรียนรู้อะไรมากมาย เอาเข้าจริงยายหมาเองก็เป็นคนดุคนหนึ่ง
คุณย่าเล่าว่า ไปเรียนหนังสือกับฝรั่งที่โรงเรียนมิชชั่นนารี มีเด็กนักเรียนอยู่ 8-9 คน ฝรั่งให้ร้องเพลงสวดอะไรก็ไม่ค่อยเข้าใจ และมักจะพูดเรื่องพระเยซูอยู่เรื่อย บางทีก็เอาแผ่นกระดาษมีรูปสีเขียวแดงมากางให้ดูและชี้ว่าตรงนี้เป็นเมืองนั้นเมืองนี้ (คงเป็นแผนที่โลก) ดูแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ถึงแม้ว่าการเรียนจะเป็นไปอย่างกระท่อนกระแท่น คุณย่าก็พยายามเรียนจนอ่านออกเขียนได้ซึ่งก็นับว่าเก่งพอควร เด็กผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันที่จะอ่านหนังสือออกเหมือนคุณย่ามีจำนวนน้อยมากในลําปางสมัยนั้น คุณย่าเรียนเขียนอ่านทั้งตัวหนังสือเมืองและตัวไทย
สมัยคุณย่าเป็นเด็ก ถนนตลาดจีนอยู่ชิดกับ ตลิ่งของแม่น้ำวัง พวกเรือสินค้าจากทางใต้มาจอดขนถ่ายสินค้าต่าง ๆ ที่นี่ ตลอดแนวถนนมีการมุงหลังคาเป็นเพิงสำหรับการขายของ ตลาดจึงมีคนพลุกพล่านจอแจพอสมควร ตอนนั้นยังไม่มีวัดเกาะวาลุการามมีแต่เกาะทรายกลางแม่น้ำวัง ซึ่งอยู่มาวันหนึ่งก็มีพระธุดงค์มาปักกลดอยู่บนเกาะนี้ เป็นพระธุดงค์มาจากทางใต้ชื่อ “หลวงพ่อกริ่ม” และพอนาน ๆ เข้า ก็เลยตั้งบริเวณเกาะนี้เป็นวัดขึ้นมา แต่ก่อนจะไปทําบุญที่วัดเกาะ ก็ต้องลงเรือข้ามไป เพราะลําน้ำใหญ่ อยู่ระหว่างวัดกับถนนตลาดจีน สายน้ำปัจจุบันนี้ เป็นสายน้ำที่ลัดเกิดขึ้นใหม่ในช่วง 50-60 ปีที่แล้ว
ครอบครัวของคุณย่า จะเป็นศรัทธาประจําวัด เกาะๆ เพราะว่าใกล้บ้าน แต่บางครั้งก็ไปทําบุญที่วัด “ม่อนคะติง” ซึ่งต้องเดินเท้าไปทางวัดท่าคราวน้อย และข้ามแม่น้ำวังที่นั้น คุณย่าเล่าว่าเวลากลับจาก วัดม่อนคะติง ซึ่งมักจะเป็นเวลาบ่าย ๆ เย็น ๆ ต้องหาบของกลับเข้าเวียงโดยเดินผ่านป่าช้าแถว ๆ วัดบ้านดง (บริเวณโรงแรมทิพย์ช้างปัจจุบัน) เด็ก ๆ รุ่น เดียวกัน มักจะกลัวผีและหลอกให้วิ่งกันอุตลุด กระบุงและไม้คานหาบหลุดลุ่ย เหนื่อยหอบกันแทบขาดใจ กว่าจะเข้าถึงประตูเชียงราย (หอนาฬิกา) บริเวณดังกล่าวเป็นป่ารกมากและน่ากลัว
คุณย่ามีเพื่อนสนิทที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน คือ คุณยายทองคํา สุวรรณิชกุล อยู่บ้านประตูชัยอายุไล่เรี่ยกัน แต่คุณยายทองคํามีศักดิ์เป็นน้า ทั้งคู่มีนิสัย ค้าขายเก่ง และชอบเดินทางไปขายของตามหัวเมืองต่าง ๆ เช่น ถ้าเขามีงานประเพณีสําคัญ ๆ ที่ไหนก็ จะพากันไปเป็นกลุ่มใหญ่ เอาของไปขายและถือ โอกาสไปเที่ยวทัศนาจร บางครั้งลงไปกรุงเทพฯ ซื้อ ของมีค่า เช่น เพชรนิลจินดา นั่งรถไฟกลับขึ้นมา ทางสวรรคโลก และขี่ม้าด่วนข้ามดอยมาลําปางอีกทีหนึ่ง ต้องรีบมาเพราะถ้าเดินทางช้ากลัวโจรปล้น
ปกติคุณย่าจะค้าขายและเดินทางด้วยเรือหางแมงป่อง ล่องขึ้นล่องลงตามแม่น้ำวังและไปต่อรถไฟ ที่ปากน้ำโพ คุณย่าบอกว่าช่วงน่ากลัวที่สุดของการเดินทางคือระหว่างเมืองเถิน สบปราบกับเมืองระแหง (จังหวัดตาก) เพราะมีโจรชุกชุมมาก ต้องมีปืนไว้ป้องกันเรือ คุณย่าแก้ปัญหาเรื่องโจรปล้นโดยพยายามทําญาติดีกับคนในแถบนี้ เช่น ทําหมูเค็มใส่ให้ติดเรือไป เยอะ ๆ เพื่อเป็นของกํานัลตามรายทางซึ่งปรากฏว่า ได้ผลดี เพราะพวกโจรก็เกรงใจไม่กล้าปล้นมีครั้งหนึ่งไปซื้อแหวนเพชรที่กรุงเทพฯ กับยายทองคํา ตอนเดินทางกลับที่พัก เนื่องจากเป็นหญิง ด้วยกันทั้งสอง กลัวโดนจี้ปล้นกลางทางเลยเอาแหวนเพชรหลายวงซ่อนไว้ในมวยผม และเกล้ารัดให้แน่นกันไม่ให้หลุดหล่นกลางทาง คุณย่าบอกว่านี่ก็เป็นประโยชน์ของการเป็นผู้หญิงลาว และการแต่งตัว แบบลาว คือนุ่งซิ่นเกล้าผมและแต่งตัวปอน ๆ คนทางเมืองกอก (กรุงเทพฯ) เขามักจะไม่ให้ความสนใจคนลาวเท่าใดนัก และมักจะดูถูกเสียด้วยซ้ำว่าเป็นคนไม่ค่อยมีเงิน คุณย่าไม่ได้แต่งตัวเป็นลาวตลอดไป บางครั้งก็แต่งตัวเป็นไทยตามแบบยายทวดหมา คือตัดผมทรงดอกกระทุ่ม นุ่งโจงกระเบนเช่นคนทาง สวรรคโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยเมื่อยังเป็นสาวอยู่ และบางครั้งก็แต่งแบบฝรั่งใส่สเกิร์ต สวมหมวก เช่น เมื่อครั้งเดินทางไปทํากงเต็กให้อากงที่เมืองจีน
ครอบครัวของคุณย่า เท่าที่ได้รับฟังมาก็ไม่ค่อยชัดเจนและยากต่อการลําดับ คุณย่ามีพี่น้องร่วมกัน สิบสามคนไม่รู้ว่ามีกี่แม่ คุณย่าเป็นคนที่สามจากสุดท้อง คนสุดท้องจริง ๆ คือ ย่ากิมเพาะ และคุณย่าเองเดิมทีเดียวชื่อ “จันทร์แดง” ตอนหลัง ๆ เปลี่ยนมาเป็นแดงเฉย ๆ มีเตี่ยเป็นเจ็กไหหลํา ชื่อนายเทียน ลูก แม่ชื่อนางหมา อากงสามีคุณย่าเป็นเด็กและถือ สัญชาติดัทช์ เดินทางมาทํามาหากินที่ลําปางโดยตั้งร้านค้าขายสินค้าอิมปอร์ตจากเมืองนอก เช่น เครื่องมือช่าง และของใช้แบบฝรั่ง ซึ่งมีทั้งตะเกียงลาน เครื่องแก้ว ยากาแรตเป็นกระป๋อง อากงชื่อนายเกา มีเมียแล้วที่เมืองจีน บ้านเดิมชื่อ “กาอินจิว” ในมณฑลกวางตุ้ง มาอยู่ลําปางก็แต่งงานกับพี่สาว คุณย่าสองคน มีลูกชายคือลุงช่วง ลุงยล และ ลุงสวัสดิ์ พอพี่สาวเสียชีวิตลงก็ให้อีกคนหนึ่งแทน และพอเสียคนที่สอง ยายหมาก็เอาคุณย่าขึ้นแทน ฉะนั้นเมื่อตอนแต่งงานคุณย่าอายุราว ๆ ยี่สิบปีใน ขณะที่อากงอายุร่วมหกสิบแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังมีบุตรร่วมกันทั้งสองคนคือ นายบุญธง และนายบุญเที่ยง อากงเสียเมื่อป๋ายังเล็กมาก (นายบุญเที่ยง) อายุประมาณขวบกว่า